List of content
การลงทุน vs การเทรด ต่างกันอย่างไร? เลือกให้เหมาะเพื่อกลยุทธ์ที่ใช่!
ตอนนี้คุณกำลังเทรดหรือลงทุนอยู่กันแน่ครับ เคยสงสัยหรือไม่?! เพราะแม้ว่าหลาย ๆ ท่านจะเข้ามาอยู่ในโลกการเงินสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังคงตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ซึ่งทำให้พวกเขาหลงทางและย่อท้อต่อโลกการเงินแห่งนี้จนล่าถอยไปนั่นเองครับ ดังนั้น Thaiforexreview จะพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบกันว่า คุณเป็นนักลงทุนหรือนักเทรดกันแน่ และการลงทุน vs การเทรด ต่างกันอย่างไร? ส่งผลต่อกลยุทธ์จริงหรือไม่ ไปติดตามกันครับ
การลงทุนคืออะไร?
การลงทุน คือ การสร้างผลกําไรในระยะยาวผ่านเครื่องมือทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุนรวม พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว ทำให้การลงทุนจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมความมั่งคั่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนนั่นเองครับ
ตัวอย่างนักลงทุนชื่อดังก็เช่น Warren Buffett, Benjamin Graham และ Philip Arthur Fisher ซึ่งส่วนมากเป็นนักลงทุนในหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโตครับ นักลงทุนตัวอย่างเหล่านี้ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์หุ้นของพวกเขาครับ
แล้วผลตอบแทนจากการลงทุนคืออะไร? ส่วนมากมาจากส่วนต่างราคาในส่วนกำไรที่เราจะได้รับ (Capital Gain) ดอกเบี้ย รวมถึงเงินปันผลครับ แต่อย่างไรก็ดี เครื่องมือทางการเงินรูปแบบอื่น ๆ อาจให้สิทธิประโยชน์อื่นเพิ่มเติม เช่น การลดหย่อนภาษี เป็นต้นครับ
การเทรดคืออะไร?
การเทรด คือ การมุ่งเน้นที่จะสร้างผลกําไรในระยะสั้นให้เหนือกว่าการลงทุน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่มีระดับความเสี่ยงค่อนข้างสูง อาทิ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ Forex และตราสารทางการเงินรูปแบบอื่น ๆ หลักการของการเทรด คือ การซื้อสินทรัพย์ในราคาต่ำ ก่อนจะขายเมื่อราคาสินทรัพย์นั้นมีการปรับตัวสูงขึ้นครับ
ตัวอย่างนักเทรดชื่อดัง เช่น George Soros ชายผู้ทำลายธนาคารแห่งชาติอังกฤษ, Joe Lewis ปรมาจารย์ด้านการเทรด Forex และ Paul Tudor Jones เทรดเดอร์ Forex ที่รวยที่สุดในโลกครับ (อยากรู้ว่าเศรษฐี Forex มีใครบ้าง กลยุทธ์ของเขาเป็นอย่างไร?)
ผลตอบแทนจากการเทรดมาจาก Capital Gain เป็นหลัก เพราะสินทรัพย์ส่วนมากสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง อีกทั้ง ยังสามารถจบกระบวนการซื้อขายได้ภายในวันเดียว ทำให้การเทรดสร้างเงินได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ดี การเทรดจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์ ประสบการณ์ ตลอดจนการควบคุมความเสี่ยงที่ดีด้วยครับ
ความแตกต่างระหว่างการลงทุนและการเทรด
แม้จะเห็นความต่างคร่าว ๆ ไปในข้างต้นแล้ว แต่ผมจะขอสรุปความแตกต่างทั้งหมดของการลงทุนและการเทรด ดังต่อไปนี้ครับ
ความแตกต่าง |
การลงทุน |
การเทรด |
ประเภทสินทรัพย์ |
สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูง |
สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง |
แนวทางการทำกำไร |
ทำกำไรได้เฉพาะตลาดขาขึ้น |
ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง |
จุดมุ่งเน้น |
ราคา |
คุณค่า |
การวิเคราะห์ |
วิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) |
วิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) |
การยอมรับความเสี่ยง |
ไม่ชอบความเสี่ยงมากนัก |
ชอบความเสี่ยงสูง |
ความเสี่ยงในการลงทุน |
ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ตลาด และความเสี่ยงเฉพาะสินทรัพย์ |
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวน เลเวอเรจ ความไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น |
ระยะเวลาในการลงทุน |
มากกว่า 3-5 ปี |
ไม่กี่ชั่วโมงจนถึงไม่กี่วัน |
ความถี่ในการซื้อขาย |
นาน ๆ ครั้ง |
บ่อยครั้ง |
นักลงทุน vs นักเทรด: แบบไหนที่เหมาะกับคุณ?
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า หลักการตลอดจนแนวทางในการลงทุนและการเทรดนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น กลยุทธ์ของการลงทุนและการเทรดจึงแตกต่างกันตามไปด้วย เพราะฉะนั้น คุณจึงจำเป็นที่จะต้องค้นหาตัวเองว่า คุณเหมาะกับการลงทุนหรือการเทรดกันแน่ โดยสามารถสำรวจได้ผ่านปัจจัยเบื้องต้นเหล่านี้ครับ
-
การยอมรับความเสี่ยง
ความเสี่ยงถือเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ทุกคนต้องพิจารณา เมื่อต้องการเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินครับ ซึ่งหากคุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก การลงทุนในระยะยาวกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำก็อาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า แต่ถ้าหากคุณเป็นกล้าได้กล้าเสีย ยอมรับความเสี่ยงได้สูง ไม่มีภาระมากนัก การเทรดก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่า เป็นต้นครับ
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนหรือนักเทรด แต่ทุกการซื้อขายต้องมีการควบคุมความเสี่ยงที่ดี เพราะการละเลยสิ่งนี้จะนำไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่จนล้างพอร์ตได้ครับ
-
ความอดทนต่อผลลัพธ์
อย่างที่ทราบกันดีว่า การลงทุนจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานกว่าผลลัพธ์จะงอกเงย ซึ่งแตกต่างจากเทรดที่ซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากคุณเป็นคนที่มีความอดทน มีวินัย และสามารถใช้เวลาในการติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปี การลงทุนก็เหมาะกับคนกลุ่มนี้มากกว่าครับ
แต่ก็ไม่ใช่ว่านักเทรดจะไม่มีความอดทนนะครับ เพราะว่านักเทรดเองก็ต้องอาศัยจิตใจที่มั่นคงต่อผลลัพธ์เช่นกัน ไม่ด่วนได้ด่วนเสีย ไม่ใช้อารมณ์ในการซื้อขาย และยึดมั่นในกลยุทธ์ของตัวเอง สิ่งที่ต่างมีเพียงระยะเวลาที่ใช้ติดตามการซื้อขายแต่ละครั้งอาจจะสั้นกว่าการลงทุนมากกว่าหลายเท่าตัวครับ แต่มันก็ต้องผ่านการวิเคราะห์และติดตามอย่างดีด้วยเช่นกัน
-
วัตถุประสงค์ในการลงทุน
ประการต่อมา คือ วัตถุประสงค์ในการลงทุน เพราะมันจะสามารถกำหนดทิศทางการลงทุนของคุณได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาที่ใช้ในการลงทุน ผลตอบแทนที่ต้องการ และปริมาณเงินที่คุณสามารถสูญเสียได้ครับ การเลือกสไตล์การลงทุนให้เหมาะกับตัวเองจะทำให้คุณสามารถหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเองต่อไปได้ครับ
-
ความรู้และความเข้าใจในสินทรัพย์
สุดท้ายเลย คือ ความรู้และความเข้าใจในสินทรัพย์ที่คุณต้องการจะลงทุนครับ เพราะมันจะช่วยลดโอกาสที่จะทำให้คุณขาดทุน ดังนั้น หากคุณต้องการเทรดเนื่องจากอยากได้ผลตอบแทนสูง สามารถรับความเสี่ยงได้มาก แต่คุณกลับไม่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้น ๆ เลย มันก็อาจจะทำให้คุณสูญเสียจนหมดตัวได้ เรื่องนี้ผมไม่ได้ขู่นะครับ แต่เราสามารถเห็นตัวอย่างได้จากเทรดเดอร์มากหน้าหลายตาที่เข้ามาและออกไปจากตลาด Forex อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี หากคุณมีความสนใจและอยากที่จะเป็นนักเทรดจริง ๆ ก็สามารถเริ่มต้นศึกษากันได้ครับ ทุกคนก็เริ่มต้นจาก 0 เช่นกัน เพียงแต่คุณต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดี เริ่มต้นเทรดเมื่อพร้อมจริง ๆ ไม่ใช่เทรดตามผู้อื่นโดยไม่เข้าใจอะไรเลยครับ
กลยุทธ์การลงทุน vs กลยุทธ์การเทรด: เลือกที่ใช่ เพิ่มกำไร ลดขาดทุน
หลักการของการลงทุนและการเทรดนั้นค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้การลงทุนไม่ได้เหมาะกับทุกคน การเทรดก็เช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่สามารถเป็นทั้ง 2 อย่างควบคู่กันได้ครับ เพียงแต่คุณจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ ความเสี่ยง ตลาด ตลอดจนกลยุทธ์การซื้อขายที่หลากหลาย อีกทั้ง ยังต้องติดตามหลายทาง ทำให้เป็นผลเสียต่อพอร์ตการลงทุนของคุณมากกว่าครับ ดังนั้น การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อทุ่มเทเวลาและจิตใจให้สิ่งนั้นจึงเหมาะสมกว่าในช่วงแรกครับ
ดังที่กล่าวไปว่า รูปแบบและหลักการของการลงทุนและการเทรดนั้นแตกต่างกัน ทำให้กลยุทธ์ของทั้ง 2 มีความแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้น การเลือกสไตล์ที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มจะช่วยให้คุณกำหนดเส้นทางและกลยุทธ์ให้แคบลง เพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมต่อไปได้ครับ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดโอกาสขาดทุนได้มากกว่าครับ โดยกลยุทธ์ของการลงทุนและการเทรด มีดังนี้ครับ
1. กลยุทธ์การลงทุน
-
การลงทุนเชิงรุก (Active Investing) เป็นการลงทุนโดยมุ่งหวังให้มีผลประกอบการดีกว่าดัชนีมาตรฐาน
-
การลงทุนเชิงรับ (Passive Investing) เป็นการลงทุนโดยมุ่งหวังให้มีผลประกอบการสอดคล้องกับประสิทธิภาพของตลาดหรือดัชนีอ้างอิง
2. กลยุทธ์การเทรด
-
Day Trading เป็นการเทรดโดยเปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียว เน้นซื้อขายระยะสั้น
-
Scalping Trading เป็นการซื้อขายเพื่อทำกำไรเพียงไม่กี่จุดในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาที ด้วยการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขายหลาย ๆ รอบ
-
Swing Trading เป็นการเปิดคำสั่งซื้อหรือขายตามการแกว่งตัวของราคาแทนที่จะระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม
-
Position Trading เป็นการทำกำไรจากแนวโน้มราคาที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวเป็นระยะเวลานาน
โดยทั้งหมดนี้ คือ กลยุทธ์การลงทุนและการเทรดที่เป็นที่นิยม อย่างไรก็ดี มันยังมีกลยุทธ์อีกมากมายที่คุณสามารถเลือกและปรับใช้ตามความเหมาะสมได้ครับ
สรุป
โดยสรุป การลงทุน คือ การมุ่งหวังความมั่งคั่งในระยะยาว เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมากนัก ใช้ระยะเวลาในการลงทุนยาวนานเพื่อลดโอกาสขาดทุน ขณะที่การเทรดต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในระยะสั้นผ่านตราสารที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อทำกำไรจากความผันผวน ซึ่งความแตกต่างระหว่างการลงทุนและการเทรดนำไปสู่กลยุทธ์ในการทำกำไรที่แตกต่างกัน ดังนั้น ทุกท่านจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
อย่างไรก็ดี แม้หลักการของทั้ง 2 อย่างนี้จะแตกต่างกัน แต่ทั้งนักลงทุนและนักเทรดก็จำเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ ติดตาม และควบคุมความเสี่ยงด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะวางแผนการลงทุนและการเทรดทุกครั้ง เพื่อลดโอกาสขาดทุนให้ได้มากที่สุดครับ
___________________________________
หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม สามารถติดตาม ThaiForexReview
ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดการลงทุนได้ที่ : News
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ : Blogs
รีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยม : Top Brokers