List of content
กลยุทธ์การเทรด Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2023
ในความผันผวนที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในตลาดการลงทุน รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลให้ค่าเงินของแต่ละประเทศทั้งอ่อนค่าและแข็งค่าได้ เทรดเดอร์มักจะมองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอยู่เสมออยู่แล้วใช่มั้ยครับ และในปี 2023 นี้ เราจึงรวบรวม 3 กลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากในตลาด Forex มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อศึกษาเพิ่มเติม เผื่อหลายคนอาจจะอยากนำไปปรับใช้ในการเทรดได้ครับ
โดยในบทความนี้ Thaiforexreview จะพาเจาะลึก 3 กลยุทธ์การเทรดที่โดดเด่นและได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2023 ครับ ได้แก่ Trend Trading, Day Trading และ Swing Trading ที่หลายคนอาจจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดีนั่นเองครับ
กลยุทธ์การเทรดก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไปเลยครับ เพราะสามารถช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้ในแบบที่เราถนัด โดยสำหรับเทรดเดอร์แต่ละคนก็จะมีสไตล์ในการเทรดที่แตกต่างกันไป หรือถ้าจะพูดกันง่าย ๆ กลยุทธ์ในการเทรดก็คือวิธีการหรือสไตล์ในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น การดูกราฟ, การวิเคราะห์กราฟ, การเข้าออเดอร์ รวมไปถึงระยะในการถือออเดอร์แต่ละครั้ง และกลยุทธ์หรือสไตล์ในการเทรดก็มีหลากหลาย เพราะว่าจะขึ้นอยู่กับความถนัด และระบบของเทรดเดอร์แต่ละคนนั่นเองครับ
และสำหรับใครสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเทรดหรือเป็นมือใหม่ที่สนใจในการเทรด Forex ได้ในบทความนี้ครับ
ทำไมเทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การเทรด ?
กลยุทธ์การเทรดทำหน้าที่เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางสำหรับเทรดเดอร์เลยครับ โดยจะเป็นตัวช่วยหลักเพื่อการพิจารณาในการเปิดออเดอร์หรือทำกำไรในช่วงที่มีความผันผวนของราคา รวมไปถึงความเชื่อมั่นของตลาดด้วย (เพราะในบางครั้งเราก็ต้องดูว่าตลาดส่วนใหญ่มองราคาสินทรัพย์นั้น ๆ ไปในทิศทางไหน และหากเทรดหน้าเดียวกับที่ตลาดมองจะค่อนข้างได้เปรียบมากกว่า)
เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน รวมถึงมีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจนอาจทำให้เราสับสนได้ ไอ้เจ้ากลยุทธ์การเทรดที่เราเลือกใช้นี่แหละครับ จะช่วยให้เรามีระเบียบวินัยในการเทรด และเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วยเช่นกัน
มาดูความสำคัญของการมีกลยุทธ์ในการเทรดกันดีกว่า
1.ช่วยในการตัดสินใจ
ในโลกแห่งการเทรด เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับ ว่าอารมณ์และสมาธิก็มีส่วนมาก ๆ เพราะในช่วงที่เราอารมณ์ไม่คงที่ก็อาจจะนำไปสู่การตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นด้วยเหมือนกัน ซึ่งอาจส่งผลให้มีโอกาสขาดทุนมากขึ้น เนื่องจากเราอาจจะไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เพราะฉะนั้นกลยุทธ์การเทรดจะเข้ามาช่วยในด้านที่ทำให้เรามีกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับการตัดสินใจ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเลือกอย่างมีเหตุผลตามกฎที่กำหนดไว้ แทนที่จะใช้อารมณ์ครับ
2. การจัดการความเสี่ยง
แน่นอนว่าการลงทุนและการเทรดนั้นมีความเสี่ยง ซึ่งก็จะมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละตลาดหรือสินทรัพย์และวิธีการเทรด และการจัดการความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญของการเทรดที่ยั่งยืนและมีระบบครับ กลยุทธ์การเทรดจะช่วยให้เรากำหนดได้ว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน รวมถึงขนาดของออเดอร์ที่เราควรออก และการตั้งจุดขาดทุนว่าเรายอมรับการขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์กำหนดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดีเลยครับ
3. ความเป็นแบบแผนและความสม่ำเสมอ
กลยุทธ์การเทรดที่เป็นแบบแผนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น และมีความสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะสามารถช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดในอดีต เพราะเราสามารถวางแผนได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้น เราจะรับมืออย่างไร
นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดียังช่วยให้สามารถปรับตัวได้ดียิ่งขึ้นด้วยครับ ทำให้มั่นใจได้ว่าเทรดเดอร์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ โดยยังอยู่ในแบบแผน และไม่ใช้อารมณ์เข้ามาเป็นส่วนในการตัดสินใจในการเทรดครับ
4. ช่วยทำให้เป้าหมายชัดเจนยิ่งขึ้น
เทรดเดอร์แต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้เสริม, การทำกำไรเพื่อมีเงินไว้จับจ่ายใช้สอย หรือการแสวงหาอิสรภาพทางการเงิน รวมไปถึงยึดเป็นอาชีพหลักก็มี
กลยุทธ์การเทรดนี่แหละครับที่จะช่วยให้เป้าหมายของเราชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากเราออกแบบกลยุทธ์ให้เข้ากับเวลาของเราและให้สอดคล้องกับเป้าหมายเหล่านี้ ถ้าเรามีแบบแผนชัดเจน ก็จะช่วยให้เราถึงเป้าหมายได้ไวขึ้นด้วยเช่นกัน
5. วินัยทางจิตวิทยา
ถ้าพูดกันจริง ๆ จิตวิทยาเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมาก ๆ เลยครับสำหรับเทรดเดอร์ เพราะเรามักจะเห็นคำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิทยาด้านการเทรดอยู่เยอะมาก นั่นก็เพราะว่าจิตวิทยาในการเทรดมีความสำคัญและจำเป็นมาก การมีวินัยทางจิตวิทยาจะช่วยให้เรารักษาวินัยและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่เกิดจากความกลัวหรือความโลภได้ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้มองข้ามกันเลย
พอจะเห็นความสำคัญของกลยุทธ์ในการเทรดกันแล้วใช่มั้ยครับ คราวนี้เราจะมาพูดถึง 3 กลยุทธ์ในการเทรดยอดนิยมกัน ว่ามีอะไรบ้าง และเหมาะกับใครบ้าง
-
กลยุทธ์การเทรดแบบตามเทรนด์ หรือ Trend Trading
Trend Trading หรือที่เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า ตามเทรนด์ คือการเทรดเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ได้เปรียบของตลาด ณ ตอนนั้น เทรดเดอร์ที่ชอบตามเทรนด์จะเทรดตามเทรนด์ที่เกิดขึ้นในตลาดในแต่ละเวลาและพยายามเคลื่อนไหวจนกว่าสัญญาณของการกลับตัวจะเกิดขึ้น กลยุทธ์นี้อาจจะช่วยให้เราถือออเดอร์เป็นเวลาหลายวัน สัปดาห์ หรือแม้แต่เดือนเลยครับ เพราะถ้าหากเราดูหน้าเทรนด์ถูกต้อง ก็จะช่วยให้เราเข้าออเดอร์ในจุดที่ได้เปรียบได้ และหากตลาดยังไม่เปลี่ยนเทรนด์เราก็สามารถถือออเดอร์ยาว ๆ เพื่อทำกำไรได้ด้วยเช่นกัน
ลักษณะกลยุทธ์การเทรดแบบตามเทรนด์
การระบุแนวโน้ม: เทรนด์เทรดเดอร์มักจะระบุทิศทางของแนวโน้มที่เกิดขึ้นโดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, เส้นแนวโน้ม และตัวบ่งชี้แนวโน้ม
หาจุดต้นเทรนด์: เทรดเดอร์ตามเทรนด์มองหาโอกาสในการเข้าสู่การซื้อขายในทิศทางของแนวโน้มที่เกิดขึ้น และก็จะมักจะมองหาต้นเทรนด์หากเกิดการกลับตัวด้วย เรียกได้ว่าทำกำไรจากทั้งการตามเทรนด์และเมื่อเทรนด์เกิดกลับตัวครับ
การใช้ Indicators : นักเทรดตามเทรนด์มักจะใช้ Indicators ยอดนิยม อย่าง ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, MACD และตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มและจุดน่าเข้า
การจัดการความเสี่ยง: การกำหนดขนาด lot และการมองหาจุดเข้าที่ดีที่สุด จะช่วยกำหนดขนาดหรือจุดขาดทุนที่เหมาะสมให้แก่เทรดเดอร์ได้ครับ มี
รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปิดออเดอร์: เทรดเดอร์ตามเทรนด์มักจะตั้งเป้าหมายกำไรตามระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ระดับสูงสุด/ต่ำสุดก่อนหน้า หรือการทะลุเส้นแนวโน้ม เป้าหมายคือการออกจากการซื้อขายในขณะที่แนวโน้มยังคงอยู่ และก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่เทรนด์กำลังจะจบลงครับ
ข้อดีของการเทรดแบบ Trend Trading
- รู้ว่าทิศทางราคาฝั่งไหนได้เปรียบ เมื่อเรารู้ว่าทิศทางฝั่งไหนได้เปรียบ ก็จะมองหาจุดเข้าที่ดีที่สุด ไม่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์หลายครั้ง
- เครียดน้อยลง เพราะการซื้อขายตามแนวโน้มอาจมีความเครียดน้อยกว่า ช่วยให้การซื้อขายมีความสมดุลมากขึ้น
- ไม่ต้องเฝ้ากราฟบ่อย เทรดเดอร์ตามเทรนด์ไม่จำเป็นต้องซื้อขายบ่อยเท่ากับเดย์เทรดเดอร์ ซึ่งเราจะไม่ต้องโฟกัสกับกราฟนาน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
ข้อเสียของการเทรดแบบ Trend Trading
- พลาดโอกาสทำกำไรแบบสั้น เทรดเดอร์ตามเทรนด์อาจพลาดความผันผวนของราคาในระยะสั้นและผลกำไรอย่างรวดเร็วที่เทรดเดอร์ในแต่ละวันที่เราอาจจะทำได้ใน Timeframe ที่เล็กกว่า
- ความเสี่ยงของแนวโน้มที่ผิดพลาด ไม่ใช่ว่าเราจะวิเคราะห์ทิศทางถูกต้องเสมอไป หากพลาดก็อาจจะขาดทุนมากได้เช่นกัน
- อาจจะเสียค่าธรรมเนียมข้ามคืน ดังนั้นใครอยากเทรดตามเทรนด์อาจจะต้องมองหาโบรกเกอร์ที่ Free Swap ครับ
Trend Trading เหมาะกับใคร ?
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาวิเคราะห์ ไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ และสามารถรอได้หากออเดอร์นั้นยังไม่จบเทรนด์ จึงเหมาะกับคนที่ใช้เงินเย็นลงทุนและมีความอดทนสูงครับ
2. กลยุทธ์การเทรดรายวัน หรือ Day Trading
กลยุทธ์การซื้อขายรายวัน:
Day Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เทรดเดอร์เปิดและปิดสถานะภายในวันซื้อขายเดียวกันครับ เป้าหมายคือการทำกำไรจากกความผันผวนของราคาในระยะสั้น เทรดเดอร์รายวันส่วนใหญ่มักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและ Indicators เพื่อการตัดสินใจซื้อขายที่รวดเร็ว แต่อาจจะต้องระมัดระวังในการเข้าออกออเดอร์และความผันผวนของแต่ละวันครับ
ลักษณะการเทรดรายวัน:
การเลือกสินทรัพย์: เดย์เทรดเดอร์มุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและความผันผวนสูง เช่น หุ้น, คู่ฟอเร็กซ์ โดยเฉพาะทองคำ เพราะสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนสูงนั่นเองครับ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เดย์เทรดเดอร์ใช้ Indicators, รูปแบบกราฟ และข้อมูลเรียลไทม์ต่าง ๆ เพื่อระบุแนวโน้มระยะสั้นเพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ เพราะปัจจัยอื่น ๆ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ส่งผลต่อราคาครับ
การเข้าและออกออเดอร์ : เดย์เทรดเดอร์มักจะมองหารูปแบบระหว่างวัน เช่น การทะลุ (Break Out), การกลับตัว และรูปแบบต่อเนื่องของราคา เพื่อมองหาจุดเข้าที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อวิเคราะห์หลายครั้ง
เลเวอเรจและการจัดการความเสี่ยง: เดย์เทรดเดอร์มักจะใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มผลกำไร แต่อย่าลืมนะครับว่า สิ่งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงอีกด้วย จึงต้องมีการจำกัดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุดครับ
ข้อดีของการเทรดแบบ Day Trading
- ได้กำไรไว เพราะเทรดเดอร์รายวันสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วภายในวันซื้อขายวันเดียว
- ใช้การวิเคราะห์และสมาธิสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายที่กระตือรือร้นและการตัดสินใจที่รวดเร็ว
- ไม่ต้องกลัวความเสี่ยงข้ามคืน เทรดเดอร์รายวันไม่ได้ถือครองตำแหน่งข้ามคืน เลยไม่ต้องกลัวค่า Swap
ข้อเสียของการเทรดแบบ Day Trading
- ความเครียดสูง เพราะการซื้อขายรายวันที่รวดเร็วอาจทำให้เกิดความเครียดและต้องใช้อารมณ์ ซึ่งนำไปสู่ภาวะเหนื่อยหน่ายหากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
- ต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น การซื้อขายบ่อยครั้งอาจทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมสูงขึ้นเนื่องจากค่าคอมมิชชั่นและสเปรด ซึ่งอาจทำให้กำไรลดลงได้
- ใช้เวลามาก การซื้อขายในแต่ละวันที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องการความทุ่มเทเต็มเวลา ทำให้ไม่เหมาะกับบุคคลที่มีภาระผูกพันอื่น ๆ ครับ ทั้งการวิเคราะห์กราฟ, หาจุดเข้า
Day Trading เหมาะกับใคร ?
เดย์เทรดดิ้งเหมาะที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และมีเวลาในการดูและวิเคราะห์กราฟเกือบตลอดทั้งวันครับ เรียกได้ว่าใช้เวลาอย่างมาก จึงเหมาะกับใครที่มีเวลา และต้องการทำกำไรในแต่ละวันนั่นเอง
3. กลยุทธ์การเทรดแบบ Swing Trading
กลยุทธ์การเทรดแบบสวิง :
การซื้อขายแบบสวิงเป็นกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นที่ค่อนข้างสั้น ต่างจากการซื้อขายรายวันที่โดยปกติแล้วตำแหน่งจะปิดภายในวันซื้อขายเดียวกัน นักเทรดแบบสวิงจะถือตำแหน่งของตนไว้ทั้งในระยะเวลาอันสั้น หรืออาจจะถือไว้เป็นวันหรือสัปดาห์ก็มีครับ เพราะการเทรดแบบนี้จะใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาทั้งขาขึ้นและขาลง
ลักษณะกลยุทธ์แบบ Swing Trading :
การระบุแนวโน้ม : เทรดเดอร์แบบสวิงเริ่มต้นด้วยการระบุแนวโน้มโดยรวมของสินทรัพย์ที่พวกเขากำลังซื้อขาย ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ Indicators นั่นเองครับ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, เส้นแนวโน้ม และตัวบ่งชี้แนวโน้ม การระบุแนวโน้มช่วยให้ผู้ซื้อขายตัดสินใจว่า ควรจะออกออเดอร์ Buy หรือ Sell
หาจุดเข้า : เมื่อมีการระบุแนวโน้มแล้ว นักเทรดแบบสวิงจะมองหาจุดเข้าเหมาะสมที่สุด ซึ่งมักจะเกี่ยวกับการกลับตัวตามแนวโน้มที่เกิดขึ้น
Indicators : เทรดเดอร์สวิงมักใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อปรับแต่งจุดเข้าและออก ตัวชี้วัดยอดนิยมที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่รู้จักแน่ ๆ ได้แก่ Relative Strength Index (RSI), Moving Average Convergence Divergence (MACD) และ Stochastic Oscillator ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถประเมินสภาวะการซื้อมากเกินไปหรือการขายมากเกินไป และจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
การจัดการความเสี่ยง: การตั้ง Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญในการซื้อขายแบบสวิงเพราะเราอาจจะคาดเดาผิดทางได้อยู่เสมอ ระดับ Stop Loss จะพิจารณาจากการยอมรับความเสี่ยงของเทรดเดอร์และความผันผวนของสินทรัพย์
จุดออก: เทรดเดอร์แบบสวิงเทรดมักจะมีจุดออกเพื่อทำกำไรที่ชัดเจน เพราะหากถูกทางก็จะมีโอกาสทำกำไรตามที่ตั้งเป้าไว้แน่นอน
ข้อดีของการเทรดแบบ Swing Trading :
- เป็นกลยุทธ์ที่มีความสมดุลสูง การซื้อขายแบบสวิงสร้างความสมดุลระหว่างการซื้อขายระยะสั้นและระยะยาว โดยจับการแกว่งของราคาในระยะกลาง
- ไม่ได้ใช้เวลาในการวิเคราะห์กราฟมากเท่า Day Trading นักเทรดแบบสวิงไม่จำเป็นต้องติดตามตลาดอย่างต่อเนื่องเหมือนกับเดย์เทรดเดอร์ ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- มีโอกาสในการหาจุดเข้าได้ในทุกเทรนด์ เทรดเดอร์แบบสวิงจะได้รับประโยชน์จากทั้งแนวโน้มระยะสั้นและแนวโน้มระยะกลาง ซึ่งอาจทำให้เพิ่มศักยภาพในการทำกำไรได้สูงสุด
ข้อเสียของการเทรดแบบ Swing Trading :
- อาจจะเพิ่มต้นทุนในด้านธุรกรรม เพราะมีทั้งค่าสเปรดหรืออาจจะมีค่า Swap ด้วย
- อาศัยความอดทนสูงมาก เพราะต้องรอจุดเข้าที่ดี และอาจจะมีการถือออเดอร์ข้ามวันหรือข้ามสัปดาห์
- ไม่เหมาะสำหรับทุกคน เพราะการซื้อขายแบบสวิงยังคงต้องมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการบริหารความเสี่ยงค่อนข้างมาก ซึ่งอาจไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ทุกคนโดยเฉพาะมือใหม่
การเทรดแบบ Swing Trading เหมาะกับใคร ?
เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในระดับหนึ่ง และมีความอดทนสูง รวมถึงต้องมีเวลาในการวิเคราะห์ไม่มากก็น้อยครับ
การเทรดในแต่ละสไตล์ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป และแน่นอนว่ากลยุทธ์เพียงแบบเดียวไม่สามารถตอบโจทย์เทรดเดอร์ทุกคนในตลาดได้อย่างแน่นอนครับ เพราะแม้แต่เทรดเดอร์คนเดิม แต่ว่าคนละสินทรัพย์ ก็ต้องมีการเลือกใช้กลยุทธ์หรือสไตล์การเทรดที่อาจจะแตกต่างกันออกไป เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งเทรดเดอร์ ทั้งตราสาร รวมถึงตลาดที่เทรดให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น Thaiforexreview ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์และผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อยนะครับ ฝากติดตามเว็บไซต์รวมถึงช่องทางต่าง ๆ ของพวกเราเพื่อไม่พลาดความรู้หรือเรื่องราวน่าสนใจใหม่ ๆ ไว้ด้วยนะครับ
หากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม
สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับ Forex ได้ทางเว็บไซต์ www.thaiforexreview.com
ติดตามความเคลื่อนไหวและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก Thaiforexreview
ติดตามข่าวสารการลงทุนและบทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ได้ที่ Forex Analysis
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ Blogs
อ่านรีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยมได้ที่ Top Brokers