List of content
โจ ไบเดน เตรียมลดภาษีนำเข้าจากประเทศจีน หวังช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญ
“โจ ไบเดนเตรียมประกาศลดภาษีนำเข้าจากประเทศจีน ช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเผชิญ”
ปัญหาเงินเฟ้อ เป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ทั้งการผลิตที่ต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงการขนส่งที่ล่าช้าออกไป ทำให้ต้องมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่องธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นการบรรเทาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครนเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอีกด้วย
สหรัฐฯ ก็ประสบปัญหาเงินเฟ้อเช่นกัน โดยเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนที่ชะลอลงจากเดือนมีนาคมที่ 8.5% ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี เป็นระดับมากกว่าที่ตลาดทำการคาดการณ์ไว้ ซึ่งเงินเฟ้อที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้มีการออกนโยบาย เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อโดยมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.5% ในการประชุมในครั้งล่าสุด ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่ที่ 0.75%-1.00% และยังคงมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อชะลอความรุนแรงของเงินเฟ้อ
ประธานาธิบดี โจ ไบเดนเตรียมพิจารณาปรับลดภาษีนำเข้าจากจีน ทำให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนของคนประเทศสหรัฐอเมริกาลดลง โดยหากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่ได้มีการเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีน ทำให้ภาระตกไปอยู่ที่ประชาชนภายในประเทศ ดังนั้น หากมีการลดภาษี จะช่วยบรรเทาภาระให้กับบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาและประชาชนได้ ส่งผลให้เงินเฟ้อลดลง 1.3%
จากตามที่ผมได้กล่าวมานั้น ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับ 8% อย่างในปัจจุบัน การปรับลดภาษีนำเข้า ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้นำเข้ามาเป็นเครื่องมือในการช่วยบรรเทาความรุนแรงของเงินเฟ้อ นอกจากการหวังพึ่งนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเบื้องต้น โจ ไบเดนได้มีการลดภาษีนำเข้าจากจีนที่ได้มีการเพิ่มภาษีช่วงที่ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ซึ่งการลดภาษี ทำให้โจ ไบเดน มองเห็นว่าในอนาคต อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง ดังนั้น การที่โจ ไบเดน ได้มีการออกมาแก้ปัญหานอกจากรอนโยบายทางธนาคารกลางสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวนั้น ส่งผลให้เห็นถึงการออกมาช่วยบรรเทาภาระประชาชน ซึ่งตามที่คาดการณ์ไว้สามารถลดเงินเฟ้อได้ถึง 1.3% ในประเทศไทยเองที่กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อเบื้องต้นอาจมีการเรียนรู้ และการนำมาปรับใช้กับประเทศของตนเองครับ