เทคนิคการเทรด Forex พร้อมวิธีปั้นพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว

ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่มีความผันผวนสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างผลกำไรได้มากมายเช่นกัน การที่จะประสบความสำเร็จในการเทรด Forex นั้น จำเป็นต้องมีเทคนิคและกลยุทธ์ที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงเทคนิคการเทรด Forex ที่สำคัญ พร้อมวิธีปั้นพอร์ตให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เทคนิคการเทรด Forex คือ แผนการเทรดหรือกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด และตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายคู่สกุลเงินไหน เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งเทคนิคการเทรด Forex ที่ดี จะต้องมีความเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคล และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์

เทคนิคการเทรด Forex มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเทรด เพราะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการเทรดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

• วิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้อย่างแม่นยำ : เทคนิคการเทรดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของราคาในอดีต และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

• ตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีเหตุผล : เทคนิคการเทรดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แนวโน้มตลาด ข่าวสารเศรษฐกิจ และตัวชี้วัดทางเทคนิค

• บริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ : เทคนิคการเทรดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

• เพิ่มโอกาสในการทำกำไร : เทคนิคการเทรดที่ดีจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจับจังหวะการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

เทคนิคการเทรด Forex มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 เทคนิคหลัก ๆ ดังนี้

Scalping คือการเทรดในระยะสั้น โดยเป็นการถือออเดอร์เพียงไม่กี่นาที หรือชั่วโมง เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น ๆ โดยการเทรด Scalping นั้น จะเน้นจำนวนการเทรดที่เยอะ แต่แลกมาด้วยอัตรา Win Rate ที่สูง แต่จะมี RRR (Risk Reward Ratio) ที่ต่ำ เนื่องจากเป็นการเทรดใน Time Frame ที่ต่ำและมีการตั้ง TP ในระยะสั้น และเทคนิคสำหรับการเทรดแบบ Scalping มีอยู่หลายเทคนิค เช่น การหาจุดกลับตัว Divergence, การ Follow ตามสัญญาณ Breakout หรือการ Follow ด้วยเทคนิค Re-Test เป็นต้น

จากตัวอย่างการเทรดข้างต้น ในออเดอร์ที่ 1 มีเหตุในการเข้า เนื่องจากราคาร่วงลงไปทดสอบแนวรับสำคัญ พร้อมกับเกิดสัญญาณการกลับตัวอย่าง Divergence และ Price Action ที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการกลับตัวอย่าง Bullish Engulfing ซึ่งหลังจากราคาสามารถขึ้นมาเหนือแนวต้านได้ ราคาก็เกิดการกลับตัวลงมา Re-Test ที่บริเวณแนวต้านเก่าที่เบรกขึ้น ซึ่งได้กลายเป็นแนวรับใหม่ และจากกราฟราคาจะสังเกตได้ว่า ราคานั้นปฏิเสธการลงต่อ โดยทิ้งไส้ยาว เกิดเป็น Price Action ที่บ่งบอกถึงการกลับตัวที่เรียกว่า Hammer สัญญาณดังกล่าว ถือเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัว โดยเทรดเดอร์สามารถเข้าออเดอร์ Buy ได้เลย

ในส่วนของตัวอย่างการเทรดออเดอร์ที่ 2 จากกราฟจะเห็นว่า ราคาได้ขึ้นไปชนแนวต้านและร่วงลงมาทดสอบแนวรับ ซึ่งเดิมเป็นแนวต้านที่เพิ่งเบรกขึ้นมาได้ โดยจากตัวอย่าง จะพบว่า เมื่อราคาร่วงลงมาทดสอบรับดังกล่าว ราคามักจะปฏิเสธการไปต่อของราคาทุกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ราคาอาจจะไม่ลงไปต่ำกว่านี้ และอาจจะปรับตัวขึ้นไปต่อในเร็ว ๆ นี้ และจุดเข้าของออเดอร์ที่ 2 จะอยู่ที่แนวต้านเก่า ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับนั่นเองครับ แต่เนื่องจากว่า การเทรดนี้ เป็นการเทรดระหว่างเทรนด์ ซึ่งถือว่าเป็นการเทรดที่ค่อนข้างเสี่ยง ทางเราจึงให้ TP มา 2 จุด นั่นก็คือ TP 1 ที่บริเวณแนวต้านล่าสุด และ TP 2 ที่บริเวณแนวต้านบนสุดของกราฟ

Swing Trade คือ เทคนิคการเทรดที่ใช้การแกว่งตัวของราคา โดยนักเทรดจะถือครองสินทรัพย์เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เพื่อรอให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ ก่อนที่จะขาย เป็นการเทรดเพื่อทำกำไรในระยะกลาง โดยถือออเดอร์เป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์  ซึ่งการเทรดแบบ Swing นั้น จะเป็นการเทรดเพียง 1 ไม้และถือยาวหลายวันหรืออาจเป็นสัปดาห์ แต่ก็มีอัตรา Win Rate ที่สูงเช่นกัน และจะมี RRR ที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากการเทรดแบบ Swing จะใช้ Time Frame ใหญ่ตั้งแต่ 1H ขึ้นไป

Fundamental Analysis คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่มีผลต่อค่าเงิน เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาในระยะยาว

โดยการเทรดแบบ Fundamental Analysis จะมี Win Rate ที่ต่ำ และคาดการณ์ยาก ซึ่งเทรดเดอร์จะเรียกการเทรดแบบนี้ว่า “การเทรดชนข่าว” นั่นเองครับ และข่าวที่เทรดเดอร์มักจะเทรด มีดังนี้

• เทคนิคการรับมือกับดอกเบี้ย FED

สำหรับเทคนิคการรับมือเมื่อ FED มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจากเข้มงวดไปเป็นผ่อนคลาย หรือแบบผ่อนคลายไปเป็นเข้มงวด จะมีวิธีการทำความเข้าใจ ดังนี้ 

📈 ดอกเบี้ยขาขึ้น

เมื่อเงินเฟ้อก่อตัวสูงขึ้น FED จะทำการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจากแบบผ่อนคลายไปเป็นแบบเข้มงวด โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจในขณะนั้น โดยผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย คือ 

• ดอลลาร์แข็งค่า
• หุ้นปรับตัวลง 
• ทองคำปรับตัวลง
• ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้น

📉 ดอกเบี้ยขาลง

เมื่อเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง FED จะทำการเปลี่ยนนโยบายการเงินจากแบบเข้มงวดไปเป็นผ่อนคลาย โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคงที่อีกครั้ง โดยผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง คือ

• ดอลลาร์อ่อนค่า
• หุ้นฟื้นตัวขึ้น
• ทองคำปรับตัวขึ้น
• ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง

สรุปได้ว่า เทคนิคการรับมือกับดอกเบี้ย FED นั้น ดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะปรับตัวขึ้นเมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงวิกฤตเงินเฟ้อสูง ในขณะที่หุ้นและทองคำจะปรับตัวลง ส่วนในช่วงดอกเบี้ยขาลง หุ้นและทองคำจะปรับตัวขึ้น ในขณะที่ดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะค่อย ๆ ปรับตัวลงนั่นเองครับ

• เทคนิคการเทรดชนข่าวเศรษฐกิจสำคัญ

สำหรับเทคนิคการเทรดในช่วงที่มีประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เทรดเดอร์ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

• วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
• วิเคราะห์กราฟว่า มีแนวโน้มไปในทิศทางไหน
• จัดการความเสี่ยง ด้วยการกำหนด RRR และตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง

ทุกข้อที่กล่าวมาถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการเทรดในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้ง Stop Loss เพราะว่า การเทรดชนข่าวแบบนี้ เทรดเดอร์ไม่สามารถทราบได้เลยว่า เมื่อตัวเลขออกมาแล้ว ราคาจะวิ่งไปในทิศทางที่คาดเอาไว้หรือไม่ ซึ่ง Stop Loss นี้ก็จะช่วยให้เทรดเดอร์ไม่ขาดทุนจนเกินไปนั่นเองครับ

• เทคนิคการเทรดชนเหตุการณ์สำคัญ

สำหรับการเทรดในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญ เช่น วิกฤตธนาคาร, สงคราม หรือการเลือกตั้งในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ เทรดเดอร์จำเป็นจะต้องเข้าใจว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ อย่างไร เพื่อจะได้ติดตามเทรนด์การเทรดและเกาะกระแสในช่วงนั้นเพื่อทำกำไรนั่นเองครับ

เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติในอดีต เช่น ราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาในอนาคต

1. ใช้ Indicator เช่น Moving Average, MACD หรือ Bollinger Bands เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและหาจุดกลับตัวของราคา

2. ใช้ Chart Pattern หรือ Price Action เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom, Hammer หรือ Shooting Star เพื่อหาจังหวะในการเข้าออเดอร์

3. ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาแนวรับแนวต้าน

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรด Forex ควรเริ่มต้นจากการเรียนรู้เทคนิคพื้นฐาน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด นอกจากนี้ ควรฝึกฝนการเทรดในบัญชี Demo ก่อน เพื่อทดลองเทคนิคต่าง ๆ และเรียนรู้การบริหารจัดการความเสี่ยง เมื่อมีความมั่นใจแล้ว จึงค่อยเริ่มเทรดด้วยเงินจริง

การปั้นพอร์ต Forex ให้เติบโตอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องมีวินัยในการเทรด และปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยง และเรียนรู้พัฒนาเทคนิคการเทรดอยู่เสมอ โดยเทรดเดอร์สามารถทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ได้

• ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงและการบริหารการเงิน : กำหนด Risk Reward Ratio (RRR) ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง และไม่ควร Overtrade นอกจากนี้ การบริหารการเงินในพอร์ตลงทุนจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น

• เรียนรู้และพัฒนาเทคนิคการเทรดอยู่เสมอ : ศึกษาเทคนิคการเทรดใหม่ ๆ และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์การเทรดของตนเอง

• มีวินัยในการเทรด : ปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด และไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ

• เย็นให้พอ รอให้เป็น : ไม่ควรรีบร้อนเข้าออเดอร์ ควรอดทนรอจังหวะที่มั่นใจที่สุด

• บันทึกการเทรดและวิเคราะห์ผล : การจดบันทึกการเทรดทุกครั้ง สามารถนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงเทคนิคการเทรดในครั้งต่อ ๆ ไปได้

นอกจากการทำตามวิธีข้างต้นแล้ว การเลือกโบรกเกอร์ในการเทรดก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประสบการณ์การเทรดของเทรดเดอร์เป็นไปได้ด้วยดี และอาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย โดยเทรดเดอร์ควรที่จะเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าบริการต่ำ เช่น ค่าสเปรด, ค่าคอมมิชชัน และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ซึ่งทาง Thaiforexview ก็ได้ทำการรีวิวโบรกเกอร์ที่คุ้มค่าต่อการเทรดเอาไว้ให้แล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่

แนะนำโบรกเกอร์เทรด Forex

การเทรด Forex เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างผลกำไรได้มากมาย การที่จะประสบความสำเร็จในการเทรด Forex นั้น จำเป็นต้องมีเทคนิคและกลยุทธ์ที่ดี มีวินัยในการเทรด และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจในการเทรด Forex