List of content
Chart Pattern คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไรกับการเทรด Forex
ในตลาด Forex เทรดเดอร์จะมีการพึ่งกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะอยู่รอดในตลาดให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเทรดด้วยปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยด้านจิตวิทยาของราคา รวมไปถึงการใช้งานกลยุทธ์การเทรดด้วย Pattern Forex แต่ในวันนี้ทางทีมงาน Thaiforexreview จะพาทุกคนมารู้จักกับเทคนิคการวิเคราะห์ราคาด้วย Chart Pattern ว่าคืออะไร มีวิธีการใช้งาน และมีประโยชน์ต่อเทรดเดอร์อย่างไรในการเทรด Forex
Chart Pattern หรือ Price Pattern คือ “รูปแบบของกราฟ” ที่เกิดจากกราฟแท่งเทียนได้เรียงตัวกันจนเกิดเป็น “รูปแบบของกราฟ” โดยมีต้นกำเนิดจากการนำเส้น Trend Line มาลากใส่กราฟ และทำให้เห็นรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
Chart Pattern ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของราคา โดยใช้หลักการของแนวรับ-แนวต้าน และพัฒนามาเป็นหนึ่งในเทคนิคการเทรดที่นิยมในกลุ่มเทรดเดอร์ทั่วโลก รูปแบบของ Chart Pattern มีความหลากหลายมาก แต่จะมีรูปแบบหลัก ๆ อยู่ 3 รูปแบบ ดังนี้
1. รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)
2. รูปแบบการไปต่อ (Continuation Patterns)
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง (Bilateral Patterns)
ประเภทของ Chart Patterns |
แนวโน้มที่คาดการณ์ |
รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) |
|
รูปแบบการไปต่อ (Continuation Patterns) |
|
รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง (Bilateral Patterns) |
|
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า Chart Pattern มีการแบ่งออกมาเป็น 3 แบบหลัก ๆ คราวนี้เราจะมาบอกลักษณะที่สำคัญของแต่ละรูปแบบว่ามีอะไรบ้าง และจะใช้วิเคราะห์กราฟได้อย่างไร
1. รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) |
รูปแบบการกลับตัว คือ การฟอร์มตัวของราคาที่ส่งสัญญาณว่าราคาอาจจะเกิดการกลับตัวในอนาคต ซึ่งปกติแล้ว รูปแบบการกลับตัวจะเกิดขึ้นในช่วงระดับราคาแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ ๆ อย่างจุดราคาสูงสุด หรือจุดต่ำสุดของช่วงเวลานั้น ๆ โดยจะมีสัญญาณการกลับตัวอยู่ 10 รูปแบบ ดังนี้
⭐ 10 รูปแบบ Chart Patterns : รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) ⭐
รูปแบบ Chart Patterns | ชื่อ | ความหมาย |
Double Top |
รูปแบบ Double Top คือ การที่ราคาเคลื่อนไหวเป็นหยัก 2 หยักที่ตรงจุดยอด หรือ จุด Top เลยเรียกว่า Double Top ซึ่งการเกิด Double Top หมายความว่า ราคาพยายามที่จะทำ New High แต่ว่าไม่สามารถที่จะทำ New High ได้ ทำได้ดีที่สุดคือ การขึ้นไปเทียบกับราคาเดิม เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้ราคาดีดกลับลงมาต่ำกว่าเดิมและเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง | |
Double Bottom |
ส่วนรูปแบบ Double Bottom เป็นรูปแบบตรงข้ามกับรูปแบบ Double Top เพียงแต่เกิดขึ้นในทิศทางตรงกันข้าม กล่าวคือราคาพยายามจะลงต่อเพื่อทำ New Low แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้การเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทางกลับไปเป็นขาขึ้น ซึ่งรูปแบบ 2 รูปแบบนี้ เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมในการเทรดสูงสุดและสามารถวิเคราะห์ได้ง่าย | |
Head and Shoulders |
รูปแบบหัวและไหล่ จะคล้ายคลึงกับ Double Top และ Double Bottom เพียงแต่ว่า จะมียอดอยู่ 3 ยอดด้วยกัน โดยที่ยอดแรกกับยอดสุดท้ายจะเท่ากัน และยอดตรงกลางจะสูงสุดหรือต่ำสุด รูปแบบ Head and Shoulder นี้ก็จะเกิดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง เช่นเดียวกับรูปแบบอื่น ๆ โดยจะเรียกว่า รูปแบบ Head and Shoulder กลับหัว หรือ Inverse head and shoulders | |
Inverse Head and Shoulders |
รูปแบบนี้จะตรงข้ามกับ Head and Shoulders โดยหากเกิด Inverse Head and Shoulders เทรดเดอร์จะรอราคาทะลุผ่านเส้น Neckline แล้วก็จะเข้าไปเปิดออเดอร์ในทิศทางเดียวกับแนวโน้มใหม่เพื่อทำกำไรครับ | |
Falling Wedge |
กราฟรูปแบบสามเหลี่ยมรูปลิ่ม เฉียงลง ซึ่งสามเหลี่ยมจะค่อย ๆ แคบจนเป็นรูปลิ่ม และจะเกิดสัญญาณ Break Out คือทะลุรูปแบบ 3 เหลี่ยมออกมา โดยจะเคลื่อนไหวไปทิศทางเดียวกับเทรนด์ก่อนหน้า นั่นคือเทรนด์ขาลง | |
Rising Wedge |
รูปแบบราคาที่ตรงข้ามกับ Falling Wedge ซึ่งสามเหลี่ยมจะกลับด้านกับรูปแบบ Falling Wedge โดยทิศทางของเทรนด์สำหรับรูปแบบ Rising Wedge คือ การเคลื่อนไหวต่อเนื่องจากเทรนด์ขาลงเป็นเทรนด์ขาขึ้น | |
Bullish Expanding Triangle |
เป็นรูปแบบของราคาที่มีการเคลื่อนตัวลงเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมแบบขยายตัว โดยในจังหวะสุดท้ายจะมีการปรับตัวขึ้นไปเบรกยืนเหนือแนวกรอบสามเหลี่ยม ก่อนที่จะมีการทดสอบแนวต้านอีกครั้งและกลับตัวขึ้นไป | |
Bearish Expanding Triangle |
เป็นรูปแบบของราคาที่มีการเคลื่อนตัวขึ้นเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมแบบขยายตัว โดยในจังหวะสุดท้ายจะมีการปรับตัวขึ้นไปเบรกยืนเหนือแนวกรอบสามเหลี่ยม ก่อนที่จะมีการทดสอบแนวรับอีกครั้งและกลับตัวลงไป | |
Triple Top |
เป็นรูปแบบมีที่พื้นฐานคล้ายกันกับ Double Top แต่จะมียอดเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ยอด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวต้านดังกล่าว หากราคาไม่สามารถที่จะยืนเหนือจุดยอดที่ผ่านมาได้ ราคาก็มีโอกาสสูงที่จะกลับตัวลงมา | |
Triple Bottom |
เป็นรูปแบบมีที่พื้นฐานคล้ายกันกับ Double Bottom แต่จะมีจุดต่ำสุดเพิ่มขึ้นมาอีก 1 จุด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวรับดังกล่าว หากราคาไม่สามารถที่จะลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่ผ่านมาได้ ราคาก็มีโอกาสสูงที่จะกลับตัวขึ้นไป |
รูปแบบการไปต่อ คือ กราฟได้ฟอร์มตัวเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าราคาจะมีการไปต่อในอนาคต ซึ่งปกติแล้วการไปต่อจะเกิดขึ้นในระหว่างเทรนด์ทั้งขาขึ้นและขาลง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการ “พักตัว” ก่อนที่ราคาจะไปวิ่งไปต่อในแนวโน้มเดิม โดยจะเกิดขึ้นได้ทั้งในจุดที่เป็นแนวรับ-แนวต้านหรือไม่ใช่ก็ได้ โดยจะมีสัญญาณการไปต่ออยู่ 6 รูปแบบ ดังนี้
⭐ 6 รูปแบบ Chart Patterns : รูปแบบการไปต่อ (Continuation Patterns) ⭐
รูปแบบ Chart Patterns | ชื่อ | ความหมาย |
|
Bullish Rectangle |
รูปแบบ Bullish Rectangle หรือรูปแบบ 4 เหลี่ยมผืนผ้าขาขึ้น เป็นรูปแบบที่ราคาพักฐานสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้าเป็นขาขึ้น |
Bearish Rectangle |
รูปแบบ Bearish Rectangle เป็นรูปแบบ 4 เหลี่ยมผืนผ้าขาลง คือราคาพักการเคลื่อนไหวเพื่อสะสมแรงเพียงชั่วครู่หลังจากนั้นเคลื่อนไหวเป็นขาลงต่อไป | |
Bullish Pennant |
เป็นรูปแบบธงชาติสามเหลี่ยม คล้ายคลึงกับรูปแบบ Wedge เพียงแต่ลักษณะสามเหลี่ยมจะยาวกว่า คล้าย ๆ ธงสามเหลี่ยม รูปแบบ Bullish ก็แสดงถึงขาขึ้น ที่ราคาจะไปต่อเมื่อพักฐานและเกิด Break Out ขณะที่รูปแบบตรงข้ามของมันคือ Bearish Pennant ที่เป็นรูปแบบของขาลง | |
Bearish Pennant |
เป็นรูปแบบธงชาติสามเหลี่ยม คล้ายคลึงกับรูปแบบ Wedge เพียงแต่ลักษณะสามเหลี่ยมจะยาวกว่า คล้าย ๆ ธงสามเหลี่ยม รูปแบบ Bearish ก็แสดงถึงขาลง ที่ราคาจะไปต่อเมื่อพักฐานและเกิด Break Out | |
Cup & Handle |
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบของของเทรนด์ขาขึ้น โดยในช่วงของรูปถ้วยจะเป็นช่วงที่ราคามีการปรับตัวลงถึงช่วงต่ำสุดในช่วงเวลานั้น ๆ ส่วนช่วงหูจับของถ้วยจะเป็นการพักตัวของราคาก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในรอบใหญ่ | |
Reverse Cup & Handle |
รูปแบบนี้เหมือนกันกับรูปแบบ Cup & Handle ข้างบน แต่เป็นรูปแบบของของเทรนด์ขาลง โดยในช่วงของรูปถ้วยจะเป็นช่วงที่ราคามีการปรับตัวขึ้นถึงช่วงต่ำสุดในช่วงเวลานั้น ๆ ส่วนช่วงหูจับของถ้วยจะเป็นการพักตัวของราคาก่อนที่จะปรับตัวลงในรอบใหญ่ |
3. รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง (Bilateral Patterns) |
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ราคาถูกบีบให้เล็กลงจนกลายเป็นสามเหลี่ยม และไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าราคาจะไปในทิศทางไหน โดยในกรณีนี้จำเป็นที่จะต้องใช้อีกหนึ่งเทคนิคเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ ซึ่งก็คือเทคนิค “Break Out” นั่นเอง หลังจากที่ราคาโดนบีบให้กลายเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมแล้ว หากว่าราคามีการ Break Out ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ก็จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า ราคาอาจจะไปในทิศทางนั้นในอนาคต โดยจะมีสัญญาณอยู่ 3 รูปแบบ ดังนี้
⭐ 3 รูปแบบ Chart Patterns : รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง (Bilateral Patterns) ⭐
รูปแบบ Chart Patterns | ชื่อ | ความหมาย |
Ascending Triangle |
Ascending triangle เป็นรูปแบบกราฟที่มีลักษณะเป็น Sideway ขาขึ้น คล้ายกับรูปแบบ Rising Wedge แต่จะไม่มีการยกตัวขึ้นเหมือน Rising Wedge ซึ่งในรูปแบบนี้ มีโอกาสที่จะไปได้ทั้ง 2 ทาง โดยสังเกตจากการ “Break Out” ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง | |
Descending Triangle |
Descending triangle เป็นรูปแบบกราฟที่มีลักษณะเป็น Sideway ขาลง คล้ายกับรูปแบบ Falling Wedge แต่จะไม่มีการลดตัวลงเหมือน Falling Wedge เป็นรูปแบบตรงกันข้ามของ Ascending Triangle ซึ่งในรูปแบบนี้ มีโอกาสที่จะไปได้ทั้ง 2 ทาง โดยสังเกตจากการ “Break Out” ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง | |
Symmetrical Triangle |
รูปแบบ Symmetrical Triangle เป็นรูปแบบที่แทบจะเหมือนกันกับรูปแบบ Pennant แต่ 2 รูปแบบนี้มีความแตกต่างกันตรงที่ระยะของการเกิดรูปแบบ โดย Pennant จะมีระยะการเกิดที่สั้นและน้อยกว่า Symmetrical triangle ซึ่งอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า Penant เป็นเหมือนรูปแบบของการพักตัวเพื่อที่จะไปต่อ (Pennant อยู่ในรูปแบบของการไปต่อ) แต่รูปแบบ Symmetrical จะเป็นการเกิดการ Sideway ในระยะยาว เนื่องจากกราฟไม่สามารถที่จะเลือกทางไปได้ ต้อง Confirm จากการ Break Out เท่านั้น |
Chart Pattern ไม่สามารถที่จะเชื่อได้ทุกครั้ง ในหลาย ๆ ครั้งที่เราเห็นกราฟได้ฟอร์มตัวมาเป็น Chart Pattern รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ได้แปลว่ากราฟจะเป็นไปตามฟอร์มดังกล่าวเสมอไป เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีสัญญาณยันยืนเพื่อเข้าเทรด เพื่อที่จะลดความเสี่ยงจะจากการเทรดให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
______________________________________________
บทความเกี่ยวกับเทรด Forex สาย Technical
- Indicator คืออะไร? มีประโยชน์และแนวทางการเลือกใช้อย่างไร
- Hedging คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรในการเทรด Forex
- Day Trade คืออะไร?
Q: Chart Patterns มีกี่แบบ ?
► 3 รูปแบบ คือ รูปแบบการกลับตัว, รูปแบบการไปต่อ และรูปแบบที่เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง
Q: ส่วนประกอบของกราฟแท่งเทียนมีอะไรบ้าง ?
► ส่วนประกอบหลัก ๆ ของกราฟแท่งเทียน คือ เนื้อเทียน (Body) และไส้เทียน ซึ่ง Body ของแท่งเทียนจะมีขอบบนที่เป็นราคาเปิด และขอบล่างคือราคาปิด ส่วนปลายไส้ด้านบนคือราคาสูงสุด และปลายไส้ด้านล่างคือราคาต่ำสุด
Q: Break Out Forex คืออะไร ?
► คือการที่กราฟมีราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
______________________________________________
Chart Pattern คือ “รูปแบบของกราฟ” เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การกระทำโดยรวมของกราฟราคา เพื่อที่จะสามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาได้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการแบ่งออกเป็น 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่ รูปแบบกลับตัว, รูปแบบไปต่อ และรูปแบบที่เป็นได้ทั้ง 2 ทาง ซึ่งเทคนิคนี้จะมีคีย์สำคัญคือเทคนิค “Break Out” หากเทรดเดอร์สามารถที่จะเข้าใจหลักการของ Break Out ได้ การเทรดด้วย Chart Pattern ก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยการเทรดด้วยเทคนิค Chart Pattern จะมีข้อควรระวังอยู่ คือ เทรดเดอร์ไม่สามารถที่จะเชื่อ Chart Pattern ได้ทุกครั้ง เนื่องจากว่าในตลาดไม่มี Pattern Forex หรือเทคนิคการวิเคราะห์ไหน ที่สามารถที่จะชนะตลาดได้ 100% ในการเทรดด้วย Chart Pattern เทรดเดอร์จำเป็นที่จะต้องรู้จักรอสัญญาณ Confirm หรือแท่งเทียนยืนยันว่าราคาจะมีโอกาสไปทิศทางที่คาดเดาจริง ๆ ซึ่งส่วนมากนักเทรดมืออาชีพจะมีการใช้ Indicator ประเภท Oscillator เข้ามาช่วยในการหาสัญญาณ Divergence เพื่อที่จะหาจุดกลับตัวของราคา และเพื่อเป็นการ Confirm สัญญาณเข้าด้วย
Source : Lucid-Trader, Forexlearning
__________________________________
สุดท้ายนี้ การลงทุนทุกรูปแบบล้วนมีความเสี่ยง อยากให้คุณศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์นั้นให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และหากคุณมีความสนใจในเรื่องของการลงทุนเหมือนกันกับผม สามารถติดตาม ThaiForexReview
ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดการลงทุนได้ที่ : News
อ่านบทความสาระดี ๆ ได้ที่ : Blogs
รีวิวโบรกเกอร์ยอดนิยม : Top Brokers